การทวงหนี้ในปี 2023
เป็นหนี้ต้องจ่าย ใครๆต่างก็รู้ดี ในปัจจุบันประชากรไทยหลายครัวเรือนมีหนี้สินเป็นจำนวนมากทั้งจากหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ ส่วนหนึ่งมาจากพิษเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด19 ทำให้ระบบเศรษฐกิจล่มไม่เป็นท่า ประชาชนประสบปัญหาเรื่องปากท้องเพราะการทำมาหากินยากขึ้น หลายครอบครัวพึ่งการกู้หนี้ยืมสิน แต่แล้วก็เกิดปัญหาตามมาเพราะเมื่อกลายมาเป็นลูกหนี้ก็พบว่าไม่สามารถหาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ได้ทันตามกำหนดเวลา การติดตามทวงหนี้จึงเกิดขึ้นมากในสังคมนั่นเอง
ข่าวการทวงหนี้ในปัจจุบันนี้มีให้เห็นกันบ่อยๆ หลายคนที่ไม่เคยเป็นหนี้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจมากนักว่าทำไมลูกหนี้หลายคนถึงจะต้องรอให้บริษัททวงหนี้มาตามทวงหนี้เรื่อยๆเหมือนในข่าว แท้จริงแล้วใครๆก็ไม่อยากถูกทวงหนี้กันทั้งนั้นเพราะวิธีทวงหนี้ของเจ้าหนี้ในยุคนี้นั้นค่อนข้างโหดร้ายและน่ากลัวพอสมควร ถ้าหากไม่อยากถูกติดตามทวงหนี้ก็ควรรีบหาเงินมาใช้คืนให้ทันเวลาเพราะถ้าลูกหนี้ไม่คืนเงิน นอกจากถูกรบกวนจากแก๊งบริษัททวงหนี้ให้ได้อับอายแล้ว ดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
กฎหมายทวงหนี้ปี 2566 เป็นอย่างไร
เมื่อโดนทวงหนี้จากเจ้าหนี้ แน่นอนว่าลูกหนี้ต้องเกิดความเครียดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องรู้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ก็คือตอนนี้มีกฎหมาย พรบ.ทวงหนี้เกิดขึ้น นั่นก็คือเจ้าหนี้จะสามารถทวงหนี้ได้เพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นก็อาจจะต้องดูว่าตอนที่เจ้าหนี้ปล่อยกู้นั้นเราติดหนี้อยู่กี่ราย แต่ละรายก็ทวงหนี้ได้วันละครั้งนั่นเอง นอกจากนี้ในการทวงหนี้ของเจ้าหนี้ก็จะต้องทวงเป็นเวลาโดยถ้าเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์จะทวงหนี้ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. แต่หากเป็นวันเสาร์และอาทิตย์จะเจ้าหนี้จะทวงหนี้ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.เท่านั้น ซึ่งการทวงหนี้ไม่ว่าจะเป็นการโทรทวงหรือส่งข้อความใดๆทางออนไลน์เข้าสู่โทรศัพท์มือถือลูกหนี้ก็จะนับเป็นการทวงหนี้ 1 ครั้งแล้วทั้งสิ้น ดั้งนั้นหากลูกหนี้ถูกทวงหนี้ไม่รับสายในหลายครั้งต่อๆมาภายในวันเดียวกันก็ถือว่าไม่มีความผิดซึ่งส่งผลให้สามารถแจ้งความทวงหนี้ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามในการติดตามทวงหนี้จะต้องทวงกับลูกหนี้โดยตรงเท่านั้น เจ้าหนี้ไม่สามารถที่จะทวงหนี้จากญาติ เพื่อนหรือคนรู้จักอื่นๆของลูกหนี้ได้อย่างเด็ดขาด
ร้องเรียนการทวงหนี้ได้ที่ไหน
หากการทวงหนี้นั้นกลายมาเป็นการคุกคามฝ่ายลูกหนี้ เช่น การประจานให้เสียชื่อเสียง การทำให้อับอาย การทำให้ผู้คนเข้าใจผิดและการทำร้ายร่างกาย เป็นต้น ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ลูกหนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองได้แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นก็ควรที่จะขอเจรจาดูก่อนเพื่อผ่อนผันการชำระหนี้ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถพูดกันดีๆได้ก็จำเป็นที่จะต้องส่งเรื่องจนถึงชั้นศาลนั่นเอง